ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ช้าหรือไว

๘ ก.พ. ๒๕๖๘

ช้าหรือไว

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถามตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “ขอโอกาสหลวงพ่อแนะนำการภาวนาพุทโธด้วยเจ้าค่ะ

กราบนมัสการหลวงพ่อ

หนูอยากลองภาวนาพุทโธแบบที่หลวงพ่อสอน แต่ยังไม่ทราบว่าควรภาวนาอย่างไร หนูจะภาวนาให้บ่อยๆ เมื่อนึกได้ ไม่ทราบว่าจังหวะเร็วหรือช้าจะขึ้นกับจริตนิสัยหรือไม่คะ การภาวนาเพื่อให้จิตตั้งมั่นใช่ไหมคะ หนูคิดว่าสำหรับหนูถ้าภาวนาช้าจะเป็นสมาธิง่ายกว่า แต่ทำไมได้ยินหลายท่านรวมทั้งครูบาอาจารย์แนะนำให้พุทโธไวๆ มันมีความหมายแตกต่างกันไหมคะ

การทำให้จิตตั้งมั่น ถ้ามีวิธีอื่นที่ไม่ใช่พุทโธ สามารถใช้ได้เหมือนกันไหมเจ้าคะ

ขอโอกาสหลวงพ่อ 

ตอบ : นี่คำแนะนำๆ เพราะว่าเริ่มต้นคนเขาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติมันก็จะไปเอาที่สะดวกสบาย ที่ง่ายๆ ที่เข้ากับกิเลสก่อน แต่เวลาทำไปแล้วๆ มันถึงโอกาสแล้วมันได้แค่นั้นแหละ

มันได้แค่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา นี่คือสิ่งที่มีคุณค่ามาก แล้วมีคุณค่ามากแล้วนะ คนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เขาเห็นภิกษุเห็นสมณะแล้วมันมีศรัทธาความเชื่อหรือไม่

หรือเห็นแล้ว หลายๆ คน และหลายๆ ความคิดบอกว่า พระเวลาบวชแล้วไม่ทำหน้าที่การงาน มันเสียเรื่องเศรษฐกิจ พระสามแสนองค์ถ้าไปทำงานนะ ประเทศชาติจะได้ผลการประกอบการอีกมากมาย นี่เขาคิดถึงวัตถุไง คิดถึงคุณค่า คิดถึงเรื่องเศรษฐกิจ

แต่ว่าถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านคิดถึงสุขทุกข์และข้อเท็จจริงของสิ่งมีชีวิต เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนสามโลกธาตุ สอนตั้งแต่พรหม เทวดา มนุษย์ สิ่งที่เชื่อในพระพุทธศาสนา

สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือการชำระล้างกิเลส ชนะพญามารในหัวใจของตน นั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

แต่ในทางโลกๆ เวลาคนเกิดมา เกิดเป็นมนุษย์มีการศึกษา เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต ถ้าเกี่ยวพันกับพระพุทธศาสนา เขาก็เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธไง ทำสิ่งใดให้เกิดทางมูลค่า ทำสิ่งใดให้คนมีความสุข เขาคิดอย่างนั้นไง

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิเสธหมดเลย สิ่งนั้นมันเป็นภาระรุงรัง มันเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้ง เป็นสิ่งที่ทำให้คนประพฤติปฏิบัติ มันมีภาระวุ่นวายไปหมดไง ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมๆ วัดที่จะเป็นที่ประพฤติปฏิบัติมันต้องมีความสงบสงัด มันต้องไม่มีสิ่งใดที่มาก่อกวนในการประพฤติปฏิบัติ

แล้วถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ดูได้ ในทางประเพณีวัฒนธรรม ฝ่ายปกครองเวลาเขาไปตรวจตามวัดเขาจะดูห้องน้ำห้องส้วม ถ้ามันสะอาด มันดูแลรักษา แสดงว่าพระวัดนี้มีข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าปล่อยปละละเลยแสดงว่าวัดนี้ใช้ไม่ได้ แล้วต่อไปเขาให้ดูสามเณรน้อย ให้ดูผู้ที่ด้อยค่าที่สุดในวัดว่าสุขภาพร่างกายใช้ได้ไหม ถ้าสุขภาพร่างกายเขาใช้ได้ แสดงว่าหัวหน้าเป็นเสมอภาค

เพราะผู้ที่น้อยกว่า สุขภาพร่างกายเขายังดีอยู่แสดงว่าเขาได้รับปัจจัย ๔ เสมอกัน แต่ถ้าเข้าไปแล้วในวัดนะ สามเณรน้อยผู้ด้อยโอกาสผอมแห้งแรงน้อย หัวหน้านี่แหมเปล่งปลั่งเชียว แสดงว่าใช้ไม่ได้ นี่พูดถึงว่าเวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านไปตรวจวัดไง

นี่ก็เหมือนกัน ในการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ถ้าในการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม

แต่ถ้าเวลาเราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานะ แค่เชื่อในพระพุทธศาสนานี้ก็ดีแล้ว ดีมากๆ เพราะการเชื่อในพระพุทธศาสนาคือเชื่อเรื่องบุญและบาป ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีก็เป็นบุญเป็นกุศล ทำชั่วมันก็เป็นบาปอกุศลใช่ไหม

ความเป็นบาปๆ อันนั้นน่ะ แล้วมันเป็นบุญเป็นบาปตรงไหนล่ะ มันเป็นสิทธิเสรีภาพ เพราะสิทธิเสรีภาพตกอยู่ใต้พญามาร

แต่ถ้ามันตกอยู่ใต้ธรรมล่ะ

สิทธิเสรีภาพเหมือนกัน เราเสียสละเหมือนกัน เราเสียสละในสังคม เสียสละให้สู่มนุษย์ สู่สังคม เราทำเพื่อคุณงามความดี มันก็แค่นั้นน่ะ เพราะอะไร ไอ้นี่เป็นวัตถุธาตุ เป็นเรื่องสังคม

กิเลสเป็นนามธรรมนะ มึงจะรู้จะเห็นกิเลสได้อย่างไร

ฉะนั้น ฝ่ายประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีคันถธุระ วิปัสสนาธุระ นี่ไง ในสมัยพุทธกาลก็มีมาตั้งแต่อย่างนี้แหละ เพราะอะไร เพราะคนที่จะให้มีความคิดเหมือนกัน มีความขวนขวายเหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้

คนที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้วบวชมาแล้วเป็นคันถธุระคือฝ่ายปริยัติ ศึกษาเล่าเรียนแล้วอบรมบ่มเพาะเพื่อสั่งสอนประชาชน นั่นน่ะเผยแผ่ธรรมๆ ไง

วิปัสสนาธุระ เข้าป่าเข้าเขาแล้วฝึกหัดปฏิบัติเอาตัวรอดให้ได้แบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่โคนต้นโพธิ์นั้น

มันอยู่ที่วาสนาของคนนะ เอาชนะตนเองสำคัญมาก

เวลาจะเข้าป่าเข้าเขามันไม่อยากไป มันอยากไปสังคม อยากไปที่คนเชิดหน้าชูตา อยากให้คนนับถือศรัทธา ไอ้นั่นเป็นภาระรุงรังไปหมดเลย แต่มันก็เป็นบุญเป็นกุศลระดับหนึ่ง แต่ถ้าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมามันเป็นอีกระดับหนึ่งไง

นี่คำถามไง “หนูอยากภาวนาพุทโธแบบที่หลวงพ่อสอน

คำว่า “หลวงพ่อสอนๆ” สอนเพราะอะไร ให้เป็นกิจจะลักษณะ ให้มันเป็นสัจจะความจริง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไปว่า สมาธิมันคืออะไร แล้วกว่าจะได้สมาธิพยายามขวนขวายมากน้อยขนาดไหน แล้วเวลาขวนขวายเริ่มต้นนี่ไม้ดิบๆ จุดไฟไม่ติด

ขยะกองเท่าภูเขานะ มันไม่ติดไฟหรอก มันเป็นขยะเปียก แต่วันใดถ้ามันติดไฟขึ้นมานะ มันไหม้อยู่นั่นน่ะ ไหม้จนกว่ากองขยะมันจะหมดน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราดิบๆ ขยะเปียกๆ แฉะเลยด้วย จุดไฟเท่าไรมันก็ติดไฟขึ้นมาไม่ได้ ฝึกหัดปฏิบัติเท่าไรมันก็เป็นสมาธิขึ้นมาไม่ได้ ฉะนั้น เวลาฝึกหัดปฏิบัติไง

เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราก็อยากให้ประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่มั่นก็เล็งญาณเลยนะ รอ “เหมือนท่านเจี๊ยะแต่ไม่ใช่ท่านเจี๊ยะ จะต้องเข้ามาหาเรา” ท่านรู้อนาคตเลย เล็งญาณเลย ใครสร้างบุญสร้างกุศลมามากน้อยขนาดไหน

นี่หลวงปู่เจี๊ยะเป็นคนเล่าให้เราฟังเอง เพราะหลวงปู่เจี๊ยะเป็นผู้อุปัฏฐาก เวลาพระเข้ามา เพราะหลวงปู่มั่นท่านบอกไว้แล้วนะ “จะมีคนลักษณะอย่างนี้ จะดีทั้งภายนอกและภายใน จะเป็นหลักในพระพุทธศาสนา

เวลามีพระเข้ามา หลวงปู่เจี๊ยะเป็นผู้อุปัฏฐาก ก็เหมือนลูกศิษย์อาจารย์อยู่ใกล้ชิดกันนะ “ใช่องค์นี้ไหม” “ไม่ใช่” “ใช่องค์นี้ไหม” “ไม่ใช่” เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านเข้าไปไง “ใช่องค์นี้ไหม” เงียบกริ๊บเลย เห็นไหม ทำไมท่านรู้ล่ะ เพราะได้สร้างอำนาจวาสนาของท่านมา

แล้วถ้าสร้างอำนาจวาสนาของท่านมาไง ไปฟังประวัติ อ่านประวัติหลวงตาพระมหาบัวสิ เวลาท่านปฏิบัติขึ้นมา ๙ ปี สละชีวิต สละตายกี่รอบ กิเลสมันหลอกเอาหัวปั่น อดอาหารจนไปบิณฑบาตไม่ไหว ถือเนสัชชิกไม่นอนขนาดไหน

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ

นี่เหตุภายนอกนะ เหตุภายนอกเวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นเพื่อแก้ไขกิเลสในใจของตนไง เราก็มีของเรา เพราะเราก็ฝึกหัดปฏิบัติมา ขึ้นไปเถียงไง เหตุภายนอกเราดูว่ามันยิ่งใหญ่นะ นั่งตลอดรุ่ง ๑๐ คืน ๒๐ คืนอย่างนี้ อดอาหารจนลงมา หลวงปู่มั่นยังตกใจเลย “เออทำไมขนาดนี้

เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกมา เป็นดีซ่านน่ะ อดจนขนาดนั้น พอพูดอย่างนั้นกลัวว่าลูกศิษย์จะไม่มีกำลังใจไง “เออมันต้องอย่างนี้สิมันถึงจะเป็นนักรบ” ให้กำลังใจนะ ไอ้นี่มันเหตุผลวัตถุภายนอก

แต่เวลาขึ้นไปแก้กิเลส กิเลสในใจของตน นิพพานเป็นอย่างนี้ๆ เพราะตัวเองได้ประสบมา บอกเราก็มีของเรา คือมันติดไง

รู้เห็นสิ่งใด ความรู้ความเห็นจริงไหม จริงๆ รู้จริงๆ กิเลสมันพารู้ เราก็รู้ กิเลสมันก็รู้ด้วย แล้วมันทะลุตลอดรอดฝั่งไปไม่ได้หรอก แล้วพอกิเลสมันปิดหูปิดตาขึ้นมามันก็ว่าใช่ทั้งนั้นน่ะ พอขึ้นไปหาท่าน ท่านก็สอยเอาหงายท้องทั้งนั้นน่ะ หงายท้องลงมาทุกทีไง

จนฝึกหัดปฏิบัตินะ พอมันเป็นจริงขึ้นไป ขึ้นไปกราบเรียนท่านนะ “เออมันต้องอย่างนี้สิ

คำว่า “อย่างนี้สิ” มันเป็นมรรคสามัคคี มันสะอาด มันบริสุทธิ์ มันสัจจะ มันผ่องใส มันเป็นความจริงมาด้วยเหตุ มันมีเหตุมีผล มีสัจจะมีความจริงไง “เออมันต้องอย่างนี้สิ” มันต้องอย่างนี้สิคือความจริง นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ ขึ้นมา เห็นไหม ฉะนั้น ครูบาอาจารย์เราท่านอยากให้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ

ทีนี้เวลาเราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เวลาคำถามไง “ขอโอกาสหลวงพ่อแนะนำการปฏิบัติพุทโธแบบหลวงพ่อเจ้าค่ะ

ไม่ใช่แบบหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่มีแบบ หลวงพ่อก็ฝึกหัดตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา แล้วครูบาอาจารย์ท่านฝึกหัดปฏิบัติก็จากธรรมและวินัยคือศาสดา กรรมฐาน ๔๐ ห้อง

หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า เราชอบที่สุดคือพุทโธ อันดับหนึ่งไง

พุทโธ ธัมโม สังโฆ มรณานุสติ เทวตานุสติ ระลึก ๔๐ วิธีการ ๔๐ วิธีการอะไรก็ได้ขอให้ปฏิบัติเถิด เพราะเวลาปฏิบัติแล้ว แค่ศรัทธาในพระพุทธศาสนามันก็มีรั้วรอบขอบชิดแล้ว เอออันนี้บาป ไม่เอา เอออันนี้บุญ เรารีบเร่งของเรา เราสร้างสมบุญญาธิการของเรา เห็นไหม แค่เชื่อ

เวลาปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วนะ มันเท่าทันอารมณ์ตน พอเท่าทัน เวลาปฏิบัติทุกวิธีการปฏิบัติ “เฮ้อสบาย เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ดี เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมากเลย” นี่มันก็แค่อารมณ์ แล้วอารมณ์มันก็ติดอยู่แค่นั้นไง

ตอนนี้ก็เป็นจินตนาการแล้วล่ะ พออารมณ์มันดี ความคิดมันดีไง พระพุทธศาสนาเลอเลิศ ก็จินตนาการเพริศแพร้วเชียว โอ๋ยบรรลุธรรมเชียว สุดท้ายแล้วเสียเวลาเปล่า แล้วมันไม่มีสิ่งใดเป็นจริงเป็นจังไง

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์กรรมฐานที่ท่านสั่งสอนนะ ท่านบอกไม่ใช่ประพฤติปฏิบัติไปเที่ยวชมสวนดอกไม้ เที่ยวชมสวนข้างทาง การที่ว่าเดินไปไหนมีสวนสาธารณะก็จะแวะ ไปไหนที่มีร่มเย็นก็จะนอนพักที่นั่น นี่ไง นี่การปฏิบัติ จะไปชื่นชมกับสวนสาธารณะ แปลงดอกไม้ เห็นทั้งนั้นน่ะ รู้เห็นทั้งนั้นน่ะ แต่เป้าหมายมันไม่ใช่

เรามีเป้าหมายต้องเดินทางต่อไป ถ้าเดินทางต่อไป เราถึงบอกว่า ถ้าเดินทางมันต้องมีเหตุมีผล มันต้องมีกำลังของมัน ถ้ามีกำลังของมัน มันถึงว่าให้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติวิธีการอย่างไรก็ได้ ขอให้ประพฤติปฏิบัติเถิด

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านบอกว่า ฝึกหัดปฏิบัติมันต้องมีคำบริกรรม มันต้องมีนวกรรม คือจิตมันต้องทำงาน

จิตไม่ทำงาน โดยธรรมชาติของเรา จิตมันทำงานโดยธรรมชาติของมัน ที่เรามีความคิดกันอยู่นี่จิตมันทำงานโดยธรรมชาติของมัน แต่มันทำงานพร้อมกับกิเลสไปตลอดเวลานี่ไง

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า ให้ทำความสงบของใจก่อน ทำความสงบของใจก่อน

คำว่า “ทำความสงบของใจ” คือทำสมาธิ ถ้าทำสมาธิแล้ว ถ้าจิตเป็นสมาธิคือกิเลสมันสงบตัวลง จิตมันจะเป็นอิสระ ถ้าจิตเป็นอิสระ มันจะทำงานโดยด้านธรรมะ มันก็จะมีโอกาสไง

แต่ถ้ามันยังจิตไม่สงบนะ มันก็ทำงานของมัน มันก็จินตนาการคิดไปธรรมะด้วยสติด้วยปัญญา มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาโลกๆ ปัญญาโดยสัญชาตญาณ ธรรมะคือเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามีสติมีปัญญาเท่าทันมัน เห็นไหม

หลวงตาพระมหาบัวท่านสอนเรื่องปัญญาอบรมสมาธิไง ปัญญามันเท่าทันอารมณ์ ปัญญาเท่าทันความคิด

ความคิดที่มันแผดเผานะ ถ้าปัญญามันเท่าทันว่าความคิดอย่างนี้มันเกิดดับๆ แล้วมันมีอารมณ์ของเราบวกเข้าไปด้วย แต่ถ้าเรามีสติปัญญา ก็ความคิดเหมือนกัน แล้วถ้ามันคิดแล้วมันหยุดคิดได้ไหม ถ้ามันหยุดคิดขึ้นมา มันปล่อยความคิด มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิไง ถ้ามันมีสติมีปัญญา แต่ถ้าไม่มีปัญญามันก็จินตนาการของมันไปตลอดเวลา เห็นไหม

ฉะนั้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติจะแนวทางใดก็ได้ ขอให้ปฏิบัติเถิด ปฏิบัติเพื่อความสบายใจ เหมือนนักกีฬา อย่างเราเล่นกีฬาเป็นทุกชนิดเลย แต่เวลาจะให้สมัครเป็นนักกีฬาอาชีพทุกชนิดเขาไม่รับหมดเลย เพราะมันทำดีไม่ได้ไง แต่ทำได้ทุกเรื่องนะ เตะบอลก็ได้ เล่นบาสก็ได้ ตะกร้อก็ได้ ชกมวยก็ได้ ได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่มีความสามารถจะเป็นนักกีฬาอาชีพได้สักอย่าง

การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เราทำความสงบได้ทั้งนั้นน่ะ เรามีความสบายใจ แต่ถ้าจะให้เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ได้ ไม่มีที่มาที่ไปทั้งสิ้น

ฉะนั้น เวลาฝึกหัดปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านถึงว่าให้กำหนดพุทโธๆๆ

เพราะพุทโธก็มันยุ่งยาก มันลำบาก มันเครียด กว่าจะนึกพุทโธนี่ โอ้โฮกว่าจะนึกได้” ใหม่ๆ เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามีศรัทธาความเชื่อทำได้

เพราะของที่ทำได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้มาแล้ว แล้วท่านเอาสิ่งที่มนุษย์ทำได้มาสอนมนุษย์ด้วยกัน แล้วมนุษย์ด้วยกัน พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็ทำตามท่าน แล้วให้ท่านแก้จิต แก้จิตจนเป็นพระอรหันต์ไปทั้งสิ้นแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน เวลาฝึกหัดปฏิบัติเริ่มต้น ถ้ามันจะเอาเป็นชิ้นเป็นอันมันก็ต้องมีสัจจะมีความจริงขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเป็นอุปาทานหมู่ เป็นการสะกดจิต มันเป็นเรื่องของคนอื่นหมดเลย ไม่ใช่เรื่องของเราเลย

เป็นอุปาทานหมู่ เขาว่าง กูก็ว่างด้วย เขาดี กูก็ดีด้วย เขาชักไปทางไหน กูก็ไปด้วย สะกดจิต สะกดจิตจบหมดนะ

แต่เวลาครูบาอาจารย์นะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ดีงามท่านอยากให้ลูกศิษย์ท่านเป็นพระอรหันต์หมดน่ะ แล้วมันมีไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัต ทั้งญาติทางสายเลือด ทั้งเป็นลูกศิษย์ แล้วเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด ฉันนะ ฉันนะเป็นผู้ที่ควบคุมม้าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช เจ้าชายสิทธัตถะ สุดท้ายก็มาบวชเป็นพระฉันนะ มากีดมาขวาง มาทำให้หมู่สงฆ์ทุกข์ยากเยอะแยะไปหมด นี่คนข้างกายทั้งนั้นน่ะ

เหมือนกัน ครูบาอาจารย์องค์ไหนบ้างที่บอกว่าไม่อยากให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นพระอรหันต์ อยากทั้งนั้นน่ะ แต่เขาเป็นไปไม่ได้ เขาทำของเขาไม่ได้ เขาฝึกหัดไม่ได้ มันก็เป็นกรรมของสัตว์ไง

แต่พระฉันนะ สุดท้ายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งพระอานนท์ไว้ไง พระอานนท์เป็นคนถาม เพราะเป็นเครือญาติกัน พระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระฉันนะให้ทำอย่างไร” “ให้ลงพรหมทัณฑ์ ไม่ให้พูดด้วย กันออกไปเลย” จนเขาช็อกเลย

ทีแรกก็ถือว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เป็นคนที่พาเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชด้วย ใครจะเข้าหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องผ่านฉันก่อน ไปกีดไปขวาง ในพระไตรปิฎกเยอะแยะไปหมดน่ะ

สุดท้ายแล้วพอลงพรหมทัณฑ์ไม่พูดด้วย คือทุกคนยกออกจากหมู่ ไม่ยุ่งด้วย เขาต้องกลับไปฝึกหัดปฏิบัติ จนสุดท้ายสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ดีกว่าเทวทัต

ย้อนกลับมาจะมาขอขมาคณะสงฆ์ พระอานนท์บอกว่าจบแล้ว เพราะตั้งแต่สิ้นกิเลสจบแล้ว วินัย ข้อกฎหมายเป็นสมมุติทั้งนั้น ถ้าจิตเป็นวิมุตติแล้วจบ

สิ่งที่จะฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะฝึกหัดปฏิบัติ ชาวพุทธนะ แนวไหนก็ได้ อย่างไรก็ได้ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันค้านไง “กึ่งพุทธกาลไม่มีแล้ว ปฏิบัติมีแต่ความลำบากมันไม่เอาเลย

ขอให้เอาก็ยังดี ขอให้สนใจเถอะ สนใจแล้วจะแนวทางไหนก็ได้ แต่ถ้าจะเอาเหตุเอาผลกัน “อยากจะลองภาวนาพุทโธแบบหลวงพ่อสอน

ให้ตั้งสติไว้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันเป็นนามธรรม มันเป็นความรู้สึก แต่เริ่มต้นเพราะเราปล่อยปละละเลยแล้วจะมาหยิบจับมันทำได้ยาก ฉะนั้น ทำได้ยากขึ้นมา หายใจเข้าอุ่นๆ ให้นึกพุท หายใจออกนึกโธ

เวลาจิตมันนึกนั่นน่ะจิตมันมีงานทำ ถ้าจิตมีงานทำ ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันจะไม่คิดเรื่องอื่นเลย เพราะมึงมีหน้าที่คิดเรื่องพุทโธ แต่พอคิดสักพักเดี๋ยวก็เผลอไปแล้ว

ฉะนั้น ทุกคนถึงบอกว่ามันยุ่งยาก พุทก็ไปคิดเรื่องร้อยแปดแล้วกลับมาโธ เวลาจะโธต่อไปมันก็ไปเสียรอบโลกเลย กลับมาพุทอย่างนี้ โอ๋ยมันลำบากไปหมดเลย

ก็ฝึกหัดไง เริ่มต้นปฏิบัติไง แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติจนถ้ามันชำนาญแล้วนะ พุทโธง่ายๆ แล้ว พุทโธมันกลมกลืนขึ้น พุทโธไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะมีอำนาจวาสนามาเป็นตัวแปรว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ ถ้ามันทำได้นะ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา

แต่คำถามว่า “สำหรับหนูคิดว่าการภาวนาช้าๆ เป็นสมาธิง่ายกว่า แต่ได้ยินว่าครูบาอาจารย์บอกให้ไวๆ

ไอ้ไวๆ หลวงปู่เจี๊ยะ “พุทโธไวๆ พุทโธไวๆ” เพราะว่าท่านได้ใช้ประโยชน์กับตัวท่านมาก่อน องค์ใดก็แล้วแต่ปฏิบัติแล้วไปเจออุปสรรคแล้วตัวเองแก้ขึ้นมาด้วยวิธีการใดนะ ไอ้นั่นน่ะมันจะฝังใจ แล้วจะเอาสิ่งนั้นมาสอนลูกศิษย์ลูกหา

หลวงปู่เจี๊ยะพุทโธไวๆ ครูบาอาจารย์ไวๆ เยอะมาก แต่ของเราถ้าช้าๆ เป็นสมาธิ ถ้ามีสติมีปัญญาตรวจสอบได้ เป็นสมาธิ ช้าๆ ก็ได้ ไวๆ ก็ได้ ช้าๆ ก็เป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิ ไวๆ เป็นสมาธิก็เป็นสมาธิ สมาธิคือสมาธิ สมาธิคือจิตมันเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นจิตตั้งมั่น เป็นจิตหนึ่ง ไม่พาดพิงอารมณ์

เป็นความรู้สึกก็เป็นความคิดเหมือนกัน จิตมันเสวยอารมณ์มันถึงเป็นความคิด เป็นความคิดก็อารมณ์ความรู้สึกเรานี่ อารมณ์ต่างๆ มันเป็นอารมณ์ จิตอยู่ใต้อารมณ์นั้น แต่พุทโธๆ ก็คืออารมณ์นี่แหละ คือฝึกอารมณ์ให้เป็นพุทธานุสติ

แต่เดิมอารมณ์เป็นอารมณ์กิเลส อารมณ์มาร อารมณ์ที่มันหลอกลวงเรา แต่เราก็ไม่รู้เพราะเป็นธรรมชาติ แต่เราฝึกหัดๆ จนเราควบคุมโดยพุทโธ พุทธานุสติ มันก็เป็นอารมณ์นั่นน่ะ พุทโธๆๆ นี่อารมณ์ดีแล้ว อารมณ์กลมกลืนแล้ว พุทโธง่ายมากเลย ราบรื่นหมดเลย

พุทโธๆ ถ้าต่อเนื่อง แล้วทำอย่างไรต่อไปล่ะ พุทโธแล้วทำอย่างไรต่อไป

พุทโธอย่าทิ้ง ห้ามทิ้งเด็ดขาด แล้วพุทโธๆ ไปจนมันละเอียด ละเอียดจนมันนึกพุทโธไม่ได้ มันจะนึกไม่ได้แต่มันรู้ตัว

แต่โดยส่วนใหญ่แล้วคนเข้าใจว่าพุทโธมันจะหาย ก็พุทโธๆ แล้วก็แกล้งลืม พุทโธๆๆ...แล้วหลับไปเลย ร้อยทั้งร้อยหลับทั้งนั้นเพราะเป็นธรรมชาติของมัน เพราะจิตมันเป็นนามธรรม

คำว่า “นามธรรม” มันเป็นนามธรรมใช่ไหม ไม่เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ยาก แล้วเราก็ศึกษามา เราเข้าใจของเรามาอย่างนี้ว่าพุทโธมันจะหายไป

หายไปอย่างนี้หายไปโดยตกภวังค์ หายไปโดยหายสาบสูญ ทั้งๆ ที่มันมีอยู่นะ แต่เป็นนามธรรมไง มันก็หายสาบสูญ หายไปเลย

แต่ถ้าเป็นอานาปานสตินะ พุทโธๆ ละเอียดขนาดไหน สติสัมปชัญญะมันพร้อม มันจะเบาบางขนาดไหนมันก็รู้ เบาบางจนจิตมันจับไม่ได้ สักแต่ว่าปรากฏคือตัวจิต ถ้าตัวจิตมันเป็นตัวจิต มันมีตรงไหนบ้างที่มันขาด มันมีตรงไหนบ้างที่มันไม่รู้ มันรู้มาตลอด รู้มาจนจิตมันเป็นตัวมันเอง นี่ล่ะอานาปานสติ อัปปนาสมาธิ สิ่งที่มันเป็นจริงๆ มันจะเป็นจริงอย่างนี้ ฉะนั้น ถ้าพุทโธหายมันต้องหายตามข้อเท็จจริง

ฉะนั้น เวลาเมื่อก่อนเราสอนไง บอก ห้ามหายๆ

โดยธรรมชาติพุทโธหายๆ เขาพุทโธหายทั้งนั้นน่ะ ถ้าพุทโธหายมันต้องพุทโธหายโดยข้อเท็จจริงไง แต่ถ้าของเรามันมีกิเลส มีตัณหา มีความอยาก มีอยากเป็น มีอุปาทานไง มันแกล้งลืม พุทโธๆ...พุทโธหายเลย เงียบ ภวังค์ทั้งนั้นแหละ ตกภวังค์เกลี้ยงเลย

นี่พูดถึงศีล สมาธิ ปัญญานะ

นี่การทำสมาธิ พุทโธช้าหรือพุทโธไวๆ มันอยู่ที่จริตนิสัย ถ้าเราพุทโธช้าๆ แล้วเป็นสมาธิง่ายๆ เราก็ช้าๆ แต่พอทำบ่อยครั้งเข้ามันคุ้นชิน มันจะมีอุปสรรค ตอนนี้ถ้าเราจะใช้ไวๆ ก็ได้

ใช้ไวๆ ก็ได้ ใช้ช้าๆ ก็ได้ แต่อยู่ที่จังหวะและโอกาส อยู่ที่หน้างาน หน้างานควรใช้แบบใด หยาบหรือละเอียด มันจะเป็นประโยชน์ตรงนั้น นี่ข้อที่ ๑.

การทำให้จิตตั้งมั่น ถ้ามีวิธีอื่นที่ไม่ใช่พุทโธ สามารถใช้ได้เหมือนกันใช่ไหมเจ้าคะ

ได้สิ ก็กรรมฐาน ๔๐ ห้องไง ทำอย่างไรก็ได้ถ้ามันเป็นผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีเหตุมีผลแล้วเป็นข้อเท็จจริง ใช้ได้ทั้งนั้น เพราะมันตรงจริตตรงนิสัย

แต่ถ้ามันรำคาญ มันหงุดหงิด มันนั่งหลับ มันสัปหงกโงกง่วง มันไม่ได้ประโยชน์อะไร อย่างนี้ไม่เอา ต้องกลับไปที่พุทโธ กลับไปที่แก้ไข แต่ถ้าเป็นอย่างอื่น ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ เพ่งกสิณก็ได้ ได้ทั้งนั้น วิธีการการปฏิบัติมากมาย แต่ต้องให้มันเป็นสัจจะเป็นความจริง

ไม่ใช่อุปาทานหมู่ สะกดจิต เชื่อตามๆ กันแล้วก็ไหลไป มันไม่เป็นประโยชน์ไง

ถ้ามันเป็นประโยชน์ ฝึกหัดปฏิบัติแบบนี้ไง มันถึงว่า ในพระพุทธศาสนามีมรรคมีผล มีเหตุมีผล มีข้อเท็จจริง ไม่ใช่เชื่อตามๆ กันมาแล้วก็เออออห่อหมกจนไม่มีต้นไม่มีปลาย

ถ้ามันเป็นความจริง มันมีสิ ต้นคด ปลายตรงไม่มี ต้นต้องตรง จิตของเราต้องมั่นคงแล้วมีสติมีปัญญาแก้ไขไป มันจะแก้ไขจิตตภาวนา จิตจะพ้นจากทุกข์ จบ

ถาม : เรื่อง “การพิจารณาเวทนา

ลูกเป็นนักปฏิบัติที่ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก จึงไม่มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเวทนา วิธีที่ลูกใช้ พิจารณาว่าเวทนาเกิดจากสัญญาในอดีตและจิตจดจำ จึงใช้ปัญญาทางโลกเอาเหตุผลใหม่เข้าไปหักล้างกัน ถ้าเหตุผลใหม่ชนะ เวทนาก็จะบรรเทาลง พอวันต่อมาจะเอาชนะเวทนาอีก จะพบว่าเหตุผลเดิมใช้ไม่ได้ผลเหมือนเมื่อวาน ก็ต้องหาเหตุผลใหม่เข้าสู้ ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน ยันกับเวทนาไว้ได้ แต่ในใจคิดว่า เป็นแบบนี้ทุกวันก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรเข้าไปหักล้าง จนมุมเองค่ะ

จนได้ฟังเทศน์ของหลวงพ่อ สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ กล่าวถึงปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานฯ ลูกได้เข้าไปฟัง เปิดอ่านในเว็บไซต์ อ่านพบคำสอนของหลวงปู่มั่นว่าด้วยเรื่องของการต่อสู้เวทนาว่า

ให้ต่อสู้เวทนาด้วยสติปัญญา ให้แยกขันธ์นั้นออกดูอย่างชัดเจน ก็เวลานี้ทุกขเวทนาเป็นขันธ์อะไร เป็นรูป เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณได้ไหม ถ้าเป็นไปไม่ได้ ทำไมจึงเหมาว่าเวทนาเป็นเรา เราเป็นทุกข์

ลูกไม่มีสติปัญญาพอที่จะเข้าใจได้ จึงขอถามหลวงพ่อ เมตตาด้วยเจ้าค่ะ

ตอบ : ไอ้เวลาประพฤติปฏิบัติเราก็ประพฤติปฏิบัติได้ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติ การศึกษาการค้นคว้ามา ภาคปริยัติคือการศึกษามาโดยภาคทฤษฎีนี่แหละ ภาคทฤษฎีแล้วเราฝึกหัดปฏิบัติ เราก็ใช้สิ่งที่เราศึกษามาค้นคว้าด้วยสติด้วยปัญญาของเรา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณค่ามาก มีคุณค่า พอเราเริ่มใช้มันเป็นของใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ มันก็ได้อย่างที่ว่า เวทนาพิจารณาแล้วมันก็เบาบางลง แล้วเวลาพิจารณาไปแล้ว พิจารณาซ้ำไปโดยปัญญาอันเดิมมันก็เริ่มขัดเริ่มขืนมากขึ้น ก็ต้องใช้ปัญญาใหม่ พอใช้ปัญญาใหม่ก็ดีขึ้น แต่ก็มาจนมุมว่าเราจะเอาปัญญาสดๆ ใหม่ๆ ทุกวันเอามาจากไหน มันถึงเป็นคำถามมาไง แล้วเข้าไปฟังเทศน์หลวงพ่อ ไปฟังเทศน์ในเว็บไซต์ เห็นอย่างนี้มันข้อเท็จจริงไง

ถ้าข้อเท็จจริงคือว่า ถ้าเราฝึกหัดทำความสงบของใจของเรา ถ้าเวลาปัญญามันเกิดมันเป็นปัญญาปัจจุบัน มันจะเกิดอะไรก็ได้ ปัญญาถ้ามีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน ปัญญามันจะเป็นเท่ากับจักรวาลเลย มันมีเยอะแยะไปหมดเลย ไม่ต้องไปห่วงว่าจะไม่มีปัญญามาสู้กับเวทนา

ถ้าจิตสงบแล้วเวลาปัญญามันเกิด มันเป็นปัจจุบัน อันเดิมอันใดก็แล้วแต่ มันมีกำลังปราบเวทนาได้ล้านเปอร์เซ็นต์

แต่ที่มันปราบเวทนาไม่ได้เพราะมันขาดสมาธิ มันเป็นสัญญา พอเป็นสัญญาขึ้นมามันไม่แน่ใจตัวเองหนึ่ง กิเลสมันบั่นทอนหนึ่ง แล้วไม่เท่าทันมันอีกหนึ่ง...ร้อยแปด

แต่ที่คำถามท่อนแรกว่า เวลาพิจารณาเวทนาด้วยปัญญา เวทนามันเท่าทันแล้วปัญญามันก็เบาบางลง

เห็นไหม นี่สัญญา แม้แต่ความเป็นสัญญา สัญญาคือจำมาจากธรรมและวินัย คือจำมาจากพระพุทธเจ้า จำมาจากพระ จำมาอย่างนี้มันก็ใช้ได้เริ่มต้น แต่กิเลสมันพัฒนาของมันตลอดเวลา กิเลสมันไม่อยู่คงที่ มันละเอียดขึ้น มีกำลังมากขึ้น มันย่ำยีเราตลอดเวลา จะหยาบจะละเอียด เราอยู่ในอุ้งมือมันตลอดเวลา

แต่ถ้าจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา สิ่งที่คำถาม เวลาพิจารณาเวทนาอย่างนี้ เวลาใช้ปัญญาไปแล้วมันต้องใช้ปัญญาตลอดไป แล้วกังวลว่าปัญญามันจะหมดไง มันไม่มีปัญญาจะมาสู้

ถ้าเป็นฝ่ายปฏิบัติไม่ต้องกังวล เวลาถ้ามันสู้กับเวทนาไม่ได้ วาง กลับมาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ กลับมาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

เวลาปัญญาอบรมสมาธิ พอเหมือนกับว่า เราเอากิเลส เอาเวทนา เอาความที่เราจะต่อสู้มาแผ่ออก แล้วเวลาทำสติ ทำสมาธิของเรามีกำลังขึ้นมา มันต่อสู้กันโดยความเสมอภาค

ไอ้นี่เราคิดว่ากิเลสตัวเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะสู้กับมันโดยสติปัญญาของเรา แล้วถึงเวลาแล้วเราจะไปเอาสติปัญญามาจากไหน

กิเลสมันเกิดที่ไหนล่ะ

เกิดบนหัวใจเรา

สติปัญญาเกิดที่ไหนล่ะ

เกิดจากหัวใจของเรา

ใช้สติปัญญาเกิดที่ไหน

ก็เกิดจากใจของเรา

ฉะนั้น ถ้ามันจะล้มลุกคลุกคลานเพราะเราไม่มีสติสัมปชัญญะยับยั้งมันได้

ฉะนั้น สิ่งที่เริ่มต้นท่อนแรกมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ คือปัญญาใคร่ครวญ ปัญญาพิจารณา มันก็วาง วางเวทนาได้ แล้วถ้าอย่างนี้มันยังไม่เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นแต่ก็มีความกังวลว่าอย่างนี้เราจะเอาปัญญาที่ไหนมาสู้มันล่ะ

อ้าวใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ถ้ากลับมาทำความสงบ ถ้าเกิดเวทนา เกิดสิ่งใดที่มันรบกวนใจแล้วเรายังต่อสู้ไม่ได้ วางไว้ก่อน แล้วมากำหนดพุทโธๆๆ หรือหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือกำหนดลมหายใจ คือกลับมาตั้งสติสัมปชัญญะ กลับมาตั้งตัว ตั้งหลัก ถ้าตั้งตัวและตั้งหลักได้ และจิตสงบได้ อะไรเราก็สู้มันได้ อะไรเราก็สู้ได้

สมาธิไง ศีล สมาธิ ปัญญา ตัวสมาธินี่แหละจะเป็นตัวพื้นฐาน สมถกรรมฐาน ฐานที่เราจะมีโอกาสไปต่อสู้กับเวทนาที่เรากลัวมันไง

ฉะนั้น สิ่งที่เขาบอกว่า เวลาไปฟังในเว็บไซต์แล้ว เวลาที่หลวงปู่มั่นบอก ทุกขเวทนาเป็นอะไร เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ ทำไมเหมาว่าเป็นเราไง

สิ่งที่ถ้ามันมีสัมมาสมาธิ อารมณ์ความรู้สึกเป็นวัตถุอันหนึ่ง มันเป็นรูป ถ้ามันจับได้มันก็เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ถ้าสติปัญญามันมี มันจับ มันแยก มันแยก

พอมันแยกออกๆ สิ่งที่สอดรัดคือสังโยชน์ คือความเห็นผิด เราสอดรัดไว้ให้เป็นอารมณ์ เป็นความรู้สึกเจ็บปวด เวลามันแยกออก มึงบ้า

เหมือนรถยนต์ ไอ้นั่นมันล้อรถ ไอ้นี่มันตัวรถ ไอ้นั่นมันเครื่องรถ ถ้ามันแยกออกกองๆ ส่งไปขายร้านอะไหล่ๆ แต่ถ้าประกอบขึ้นมาเป็นรถ ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดประกอบขึ้นมา เวทนา เจ็บปวด แยกออก เฮ้ยมันไม่เห็นมีอะไรเลย

เกิดจากสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้ามีสัมมาสมาธิมันจะเห็นความรู้สึกเป็นขันธ์ เป็นรูป เป็นเวทนา ถ้าเป็นโลก เป็นอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด มันเป็นสิ่งมัดตัวเรา

ฉะนั้น ไม่ต้องตกใจว่าจะไม่มีปัญญาไปสู้มัน ปัญญาจะเกิดจากสัมมาสมาธิ ปัญญาจะเกิดจากสมถะ ถ้ามีสิ่งใดขัดข้อง กลับไปที่พุทโธ กลับไปที่อานาปานสติ แล้วฝึกหัด เดี๋ยวจะมีความชำนาญมากขึ้น จบ

ถาม : เรื่อง “มรณานุสติ

นมัสการหลวงพ่อ ผมเคยได้ยินที่เขาว่าเขียนสมุดเบาใจกัน ผมยังไม่ได้ทำ แต่อยากกราบเรียนถามหลวงพ่อครับ

หากวันหนึ่งตัวเราหรือคนในครอบครัวต้องนอนติดเตียง ร่างกายขยับไม่ได้ แต่ลืมตาอยู่ หรือหากสมองตายแล้ว แพทย์วินิจฉัยแล้วว่าอย่างไรก็ต้องเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดชีวิต ถ้าเราตัดสินใจชักปลั๊กแล้วเขาสิ้นไปทันทีจะผิดหรือไม่ครับ แต่ผมเห็นข่าวว่ามีบางเคสก็มีปาฏิหาริย์ว่าฟื้นกลับมาได้

กราบเรียนถามหลวงพ่อว่าเราควรวางแผนอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ ผมลองคิดสภาพถ้าวันหนึ่งเกิดเป็นกับตัวเราหลายๆ ปีคงทรมานมาก ร่างกายขยับไม่ได้ กราบขอบพระคุณครับ

ตอบ : นี่พูดถึงภาวะติดเตียง เพราะว่าคนเจ็บไข้ได้ป่วย การเจ็บไข้ได้ป่วยมีอยู่ ๓ วิธีการ

หนึ่ง สุขภาพร่างกายเป็นไปตามกรรม คือสุขภาพร่างกายชราคร่ำคร่า

เกิดโดยอุปาทาน อุปาทานคือมันไม่เป็น คิดจนมันเป็น

แล้วเกิดจากกรรม เวรกรรม กรรมของสัตว์เวลามันมาให้ผล

การเจ็บไข้ได้ป่วย นายแพทย์ประเวศ วะสี เขาทำวิจัย เขาบอกว่าคนที่ป่วยโดยอุปาทานเยอะมาก เขาฉีดน้ำกลั่นไง บอกว่าฉีดแล้วหายเยอะแยะไปหมดเลย แล้วเขาบอกว่าภาวะแบบนี้เป็นภาวะที่ไปให้งบประมาณหลายสิบเปอร์เซ็นต์เลย เพราะอะไร

เพราะต้องมารักษาคนไข้ไง คนไข้เป็นอุปาทานคิดว่าเป็นโรคนู้นเป็นโรคนี้นะ แล้วเขาทำวิจัย เขาฉีดน้ำกลั่น บอกฉีดแล้วหายเลย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ฉีดยา นี่เขาเป็นโดยอุปาทาน งานวิจัยของนายแพทย์ประเวศ วะสี มีอยู่เลย เราเคยเห็น

แต่ที่เราพูดนี่เราพูดจากพระไตรปิฎก เพราะอ่านในพระไตรปิฎก การเจ็บไข้ได้ป่วย ๓ วิธีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ็บไข้ได้ป่วยจริงๆ หนึ่ง เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยอุปาทานหนึ่ง เวรกรรมให้ผล มันไม่มีเหตุมีผล นี่การป่วยของมนุษย์ ๓ ชนิด

ฉะนั้น ถ้าของเรา เราคิดว่าสภาวะติดเตียง ภาวะที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนั้น เราจะชักปลั๊กออกอย่างนี้ มันต้องอยู่สภาพตามความเป็นจริงไง เวลาเดี๋ยวนี้มีกฎหมายการุณยฆาต นั่นก็เป็นกฎหมายนะ แต่จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่มันมีเวรมีกรรมทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะว่าถ้าไม่มีกฎหมายก็ฆาตกรรมไง

แล้วเราบอกเราจะชักปลั๊กๆ

ชักปลั๊กอะไร เราต้องชักความสงสัยออกจากใจต่างหาก ชักสิ่งที่เราวิตกกังวลออกจากจิตของเราต่างหาก เราต้องมีสติปัญญาว่า เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอบรมบ่มเพาะสั่งสอนอย่างไร เราเชื่อแบบนั้น

เรายังไม่มีสติปัญญาเท่าทันตัวเราเอง เราก็ต้องเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราก็ใช้ชีวิตของเราไปโดยไม่ต้องวิตกกังวล มันจะเจอสิ่งใดต่อหน้า เราก็แก้ไขไปตามเฉพาะหน้าของเรา นี่พูดถึงตามข้อเท็จจริงไง

ไอ้นี่ไปศึกษาไปค้นคว้าทางวิชาการมาก แล้วก็มีความวิตกกังวลมาก จะบอกว่า แล้วก็ทุกข์มากไง แล้วก็ทุกข์มาก

เราให้อยู่กับปัจจุบัน สิ่งใดเกิดขึ้นเราจะแก้ไขตามความเป็นจริงของเรา ถ้าแก้ไขตามความเป็นจริงของเรา เห็นไหม เวลาเวรกรรมมันให้ผล เราเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้ว เรื่องเวรเรื่องกรรมของสัตว์ไง สิ่งใดที่ทำแล้วเสียใจภายหลังไม่ดีเลย สิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยขาดเหตุขาดผล นั่นน่ะกรรมของสัตว์ สิ่งใดที่ยังแก้ไขได้ด้วยสติปัญญา เรายังมีโอกาสแก้ไขของเรา

ถ้าเราแก้ไข เราทำของเราด้วยความไม่ประมาทในชีวิต แต่ถึงเราแก้ไขจนสุดวิสัย สุดมือแล้วมันเกิดเหตุการณ์แบบนั้น กรรมของสัตว์ จบ

ถาม : เรื่อง “ชดใช้กรรม

กราบหลวงพ่อ เนื่องด้วยเจ้ากรรมนายเวรตามล่าจนมุมแล้วครับ หนีไปไหนไม่รอดแล้วครับ ต้องเผชิญเท่านั้น ผมน้ำตาไหลที่ต้องวางความตั้งใจที่จะบวชไว้ก่อน กลัวจะบวชไม่ทันหลวงพ่อ เพราะคุณพ่อเป็นคนจีน ให้แต่งงานมีหลานสืบสกุล

คำถาม

ผมนั่งพิจารณาแล้วเข้าใจเรื่องกรรมของสัตว์ ถ้าผมแต่งงานมีหลานให้แกได้สบายใจ จากครอบครัวที่แตกแยกกลับมามีความสุขเหมือนเดิม ได้ทำหน้าที่ลูกที่ดี ถือว่าเป็นบุญหรือไม่ครับ

การกระทำข้างต้น ถ้าทำด้วยความหวังที่ว่าจะได้หมดหนี้หมดกรรม ให้เขายินดีปล่อยผมออกบวชในอนาคต ความคิดนี้ถูกต้องไหมครับ หรือไม่ควรหวังอะไรทั้งนั้น แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตครับ

ตอบ : นี่มันเป็นผลของวัฏฏะ ทำไมเราเกิดมาเป็นพ่อเป็นลูกกัน มันต้องมีเวรมีกรรมมาร่วมกัน ฉะนั้น เวลาผลมีเวรมีกรรมร่วมกัน มันก็ต้องรับผลเวรกรรมไปร่วมกัน

สิ่งที่ทำ เราทำของเราด้วยสุดกำลัง สุดวิสัยของเรา ถ้าสุดท้ายแล้วถ้ามันถึงที่สุดมันก็กรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์ ตัดสินไปในเฉพาะหน้าในเหตุการณ์ข้างหน้า

หลวงพ่อสงบอยู่วัด หลวงพ่อสงบไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งกับครอบครัวใดๆ ทั้งสิ้น แต่หลวงพ่อสงบพูดเป็นธรรม

แล้วเราตัดสินใจของเรา เราตัดสินใจ เราแก้ไขของเรา ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ เวลามีเหตุการณ์เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา พระจะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมมันเป็นอย่างนี้ๆ

มันไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ มันเป็นมาตั้งแต่ชาตินั้น เราไปทำเขา เขาไปทำเรา ถึงเวลามันก็ผลัดเวรกรรมไง เวรกรรมของสัตว์ ผลัดกันรบกวนต่อกัน

ในชาติปัจจุบันนี้เรามีขันติธรรมคือความอดทน ทำสิ่งใดให้เป็นความถูกต้องชอบธรรม เราไม่ทำออกนอกลู่นอกทาง แล้วเราทำของเราเพื่อความสงบสุข ทั้งครอบครัว ทั้งสังคม ทั้งโลก และทั้งชีวิตของเราด้วย

มีหลายๆ คนบอกว่า บวชใจๆ ไม่ต้องบวชก็ภาวนาได้ ไม่ต้องบวชก็ปฏิบัติได้

เราก็ปฏิบัติของเราให้เป็นสัจจะให้เป็นความจริงกับชีวิตของตน เอวัง